วันเสาร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2554

Weekly Azzurri legend: Gianni Rivera


               ในเกมฟุตบอลนั้นผู้เล่นตำแหน่งมิดฟิลถือเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่ง เรียกได้ว่าถ้าฝั่งไหนครองเกมที่กลางสนามได้ โอกาสที่จะเกมขึ้นไปทำประตูก็มีเยอะ ในอดีตที่ผ่านมา ทีมอัซซูรี่มีมิดฟิลที่เข้าขั้นเวิลคลาสหลายต่อหลายคน ไม่ว่าจะเป็น ดิมัตติโอ อัลแบร์ตินี่ โรแบร์โต โดนาโดนี่ คาโล อันเชล็อทติ หรือ แม้แต่ อาเดรีย ปิโลห์ ต่างอยู่เบื้อหลังความสำเร็จของทีมอัซซูร่ามาแล้วทั้งสิ้น แต่ ยังมีอีกชื่อหนึ่งที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นมิดฟิลชาวอิตาเลียนที่เก่งที่สุดตลอดการ ชื่อของเขาคือ เดอะ โกลเดนบอย จานนี่ ริเวอร์ร่า สุดยอดเพลเมคเกอร์ในตำนานของทีมชาติอิตาลี และ มิลาน 


           จานนี่ ริเวอร์ร่า เกิดที่ อเล็กซานเดรีย (18 กันยายน 1943) และเป็นเด็กปั้นของทีมบ้านเกิด โดยจานนี่ในวัยเพียง 15 ได้ลงเล่นในเกมซีรี่ อาร์ ครั้งแรก ในวันที่ 2 มิถุนายน 1959 ตลอดปีนั้น เขาลงเล่นไป 26 เกม และทำได้ 6ประตูให้อเล็กซานเดรีย จนเป็นที่มาของฉายา โกเดน บอย ในปีต่อมา เอซี มิลาน ยื่นข้อเสนอ 200000 ดอนลาห์ซึ่งเป็นสถิติการซื้อขายที่แพงที่สุดในโลกขณะนั้น คว้าตัว ริเวอร์ร่าเข้ามาร่วมทีม ริเวอร์ร่าได้เฉยชม สคูเด็ทโต้ครั้งแรก ในปี 1962 ในวัยเพียง 17 ปีเท่านั้น


            ความสำเร็จกับมิลานไม่ ได้หยุดเพียงแค่นั้น เพราะตลอด 19 ปีที่ค้าแข้งในสีเสื้อแดงดำ เขาคว้าแชมป์กับทีมได้ ถึง12 รายการ โดยแบ่งเป็น สคูเด็ทโต้ 3 สมัย อิตาเลียนคัพ 4 สมัย  ยูฟ่าคัพวินเนอร์คัพ 2 สมัย ยูโรเปี้ยนคัพ 2 สมัย และ แชมป์สโมสรโลก อีก 1 สมัย อีกด้วย

          ในนามทีมชาตินั้น ริเวอร์ร่า ลงเปิดซิงรับใช้ทีมชาติอิตาลีครั้งแรกในปี 1962 ซึ่งเขามีอายุเพียง 18 ปีเท่านั้น ในเกมที่ อัซซูรี่เสมอกับเยอรมันตะวันตกไป 0-0  และเป็นหนึ่งในกำลังหลักของอิตาลีในชุดที่คว้าแชมป์ยุโรปได้ครั้งแรกและครั้งเดียวในปี 1968 ซึ่งจานนี่ โชคร้ายไม่ได้ลงในเกมส์นัดชิง กับยูโกสลาเวีย เพราะได้รับบาดเจ็บในเกมส์รอบรองกับสหภาพโซเวียดเสียก่อน ซึ่งในปีนี้เองที่เขาโชว์ฟอร์มได้ยอดเยี่ยมที่สุด คว้าทั้งแชมป์ยุโรปและคัพวินเนอร์คัพ ทำให้เขาได้รับเลือกให้รับรางวัล บันลงดอร์ในที่สุด

       ริเวอร์ร่ายังมีส่วนในฟุตบอลโลกในปี 1970 เม็กซิโก ซึ่งในปีนั้น เฟอร์ลุกชิโอ วาคาเร็คกี้ เฮดโค๊ชของทีม ตัดสินใจดร็อป ริเอร่า เอาไว้ เพราะคิดว่าเขาเล่นไม่เข้ากับ ซานโดร มาซโซร่า สตาร์ดังอีกคนของทีม แค่ผลงานของทีมกลับไม่เป็นดังหวัง โค๊ชจึงเปลี่ยนแท็คติคในรอบสอง โดยให้ มาซโซร่า เล่นครึ่งแรก และ ริเวอร์ร่าเล่นครึ้งหลัง ซึ่งริเวอร์ร่าก็ช่วยให้อิตาลีชนะเม็กซิโก เจ้าบ้านได้ ในรอบก่อนรอง รวมถึง เยอรมันตะวันตกในรอบรองชนะเลิศ ถึงแม้ว่าอิตาลีจะไปไม่ถึงฝั่งฝัน แพ้บราซิลในรอบชิงชนะเลิศถึง 4-1 แต่ก็เป็นอีกทัวนาเมนต์ที่น่าจดจำของดาวเตะมิลานผู้นี้ 


 ในปี 1974 อิตาลีทำผลงานได้ห่วยแตก และทีมก็ตกรอบแรกไป จากการแพ้โปล์แลนด์ 2-1 ริเวอร์ร่า เป็นหนึ่งในนักเตะชุดนั้น และเขาประกาศเลิกเล่นทีมชาติหลังจบเวิลคัพครั้งนั้น โดย จานนี่ ริเวอร์ร่า เล่นให้อัซซูรี่ทั้งหมด 60 เกมส์ และยิงไป 14 ประตู จานนี่ริเอร่า ได้รับการยกย่องจากเปเล่ว่า เป็นหนึ่งใน 125 นักเตะที่ดีที่สุดที่ยังมีลมหายใจอยู่ 


หลังจากการค้าแข้งที่แสนยาวนาน ริเวอร์ร่าหันมาเล่นการเมืองและเขารับตำแหน่งในรัฐบาลยุโรปในขณะนี้

วันเสาร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2554

Weekly Azzurri Legend: Giuseppe Meazza

         
           ถ้าจะพูดถึงนักเตะ อิตาเลียนแล้ว หลายคนคงนึกถึงผู้เล่นที่มีวินัย เข้าใจในแท็คติค และ เล่นเกมส์รับได้อย่างเหนียวแน่น แต่ทีมอัซซูรี่เคยมียอดนักเตะที่มีทั้งความเร็ว ทักษะการเลี้ยงบอล และการจ่ายบอลที่ครับเครื่อง เรากำลังพูดถึง สุดยอดกองหน้าที่ดีที่สุดตลอดกาลของดินแดนรองเท้าบูท นามของเขาคือ Il Balilla  จุปเซ็บเป้ เมียซซ่า โครตกองหน้างูใหญ่และทีมชาติ อิตาลี


             จุปเซ็บเป้ เมียซซ่า เกิดเมื่อ 23 สิงหาคม 1910 ที่มิลาน โดยเขาได้รับฉายา Il Balilla มาจาก เลโอเปาโด คอนติ รุ่นพี่ เนรัสซูรี่ในขณะนั้น สาเหตุเนื่องมาจาก คอนติ ไม่พอใจที่ อัลปราส เวียส โค๊ชของทีมตัดสินใจ ส่ง เมียซซ่าในวัย 17 ปี ลงแทนที่ในตำแหน่งของเขา ด้วยความหัวเสีย คอนติ จึงเรียกเด็กจุปเซ็บเป้ ว่า Balilia (สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าในอิตาลี) และ เมียซซ่าก็โชว์ฟอร์มเบิ้ลคนเดียวสองประตูให้ อินเตอร์เอาชนะ มิลาน ยูเนียน ได้ 6-2 และในเกมนั้นเองตำนานก็ได้ถือกำเนิด


           เมียซซ่าเป็นผู้ครองตำแหน่งผู้เล่นที่ยิงประตูมากที่สุดในการลงเล่น เซเร อา ฤดูกาลแรก โดยเขายิงได้ 31 ประตู ในฤดูกาล 1929-30 และหนึ่งปีก่อนหน้านั้น ที่อิตาลีแบ่งการแข่งขันออกเป็นสองลีกคือ ลีกเหนือ และ ลีก เซนทรัลเซาท์ เมียซซ่าฟาดไปถึง 38 ประตู ในวัยเพียงแค่  18 ปีเท่านั้น โดยตลอดการค้าแข้งกับอินเตอร์นั้น เมียซซ่า พาเจ้างูใหญ่เป็นแชมป์สคูเด็ทโต้ สามครั้ง (1930 1938 1940) รองแชมป์อีกสามครั้ง 1933 1934 1935 อิตาเลียนคัพ 1 สมัย 1929  ครองตำแหน่งดาวซัลโว ซีเรอา 3 ครั้ง 1930 1936 1938  เมียซซ่าย้ายไปเล่นให้ มิลาน ยูเวนตุส อัตตาลันต้า และ แบกาโม่ตามลำดับ ในบั้นปลายชีวิตค้าแข้ง

       ด้านการรับใช้ชาตินั้นเมียซซ่า เป็นหนึ่งในขุนพลอัซซูรี่ที่เล่นใน ฟุตบอลโลกปี 1934 และ 1938 ที่อิตาลีคว้าแชมป์ได้ทั้งสองครั้ง และยังรับหน้าที่กัปตันทีมชุดแชมป์โลก 38 ด้วย และ เมียซซ่าก็อยู่ในกลุ่มนักเตะชุมแรกที่ได้แชมป์โลกสองสมัยต่อกันร่วมกับ จิโอวานี่ เฟอร์รารี กุยโด มาเซ็ทติ และ เอราโด มอนเซกิโอ ด้วย และเขาเหล่านี้ยังเป็นชาวยุโรปกลุ่มเดียวที่ทำได้อยู่

เมียซซ่าลงรับใช้ชาติครั้งแรก ในเกมกับสวิสเซอร์แลนด์ ที่กรุงโรมในวันที 9 กุมภาพันธ์ 1930 ในวัยเพียง 19 ปี  และยิงได้สองประตูช่วยให้พลพรรคอัซซูรี่ถล่มเอาชนะไปได้ 4-2 เมียซซ่ายังช่วยให้อิตาลีครองแชมป์ DR. Gero cup ทัวนาเมนต์ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคยุโรปตอนกลางและตะวันออกในตอนนั้นด้วย

  เมียซซ่าลงเล่นในฟุตบอลโลกครั้งแรกในปี 1934 ที่อิตาลีเป็นเจ้าภาพเอง โดยเจ้าตัวยิง 2 ประตูในเกมกับกรีส (ชนะ 4-0) หนึ่งประตูกับสหรัฐอเมริกา (ชนะ 7-1) ในนัดต่อมากับสเปน อัซซูรี่ทำได้แค่เสมอ 1-1 ซึ่งเกมนั้น เมียซซ่าชนกับ จาซินโต ควินโค นักเตะ สเปนจนต้องถูกหามออกไป กติการในตอนนั้นคือต้องเล่นกันใหม่ ในวันต่อมา และเมียซซ่าก็ทำประตูได้จากการโหม่งลูกเตะมุมในนาทีที่ 11 ช่วยให้ อาลีหลุดเข้าไปเจอกับ ออสเตรีย ทีมที่ว่ากันว่าดีทีสุดในโลกใน ขณะนั้น

     การแข่งขันรอบรองชนะเลิศที่ซาน ซีโร่เป็นไปอย่างตรึงเครียด สื่อมวลชนต่างลงความเห็นกันว่า เส้นทางของเจ้าภาพคงจะจบเพียงแค่นี้ เนื่องจากออสเตรียแข็งแกร่งเกินไป และพึ่งเอาชนะอิตาลีได้ถึง 4-2 ที่ตูริน สี่เดือนก่อนหน้า แต่พวกเขาคงลืมไปว่า เมียซซ่า รู้จักสนามแห่งนี้ดีกว่าใคร นัดนี้ Il balilla ตัดบอลจากเท้าผู้เล่น ออสเตรียได้ และ โชว์ลีลาลากหลบกองหลัง ก่อนยิงผ่านมือ ปีเตอร์ พลาเซอร์ ส่ง อัซซูรี่เข้าชิงฟุตบอลโลกในประเทศได้สำเร็จ

 ที่กรุงโรม  แฟนกว่า ห้าหมื่นคนถึงกับต้องหน้าซีด เมื่อเมียซซ่าโดนเข้าอัดจนบาดเจ็บต้องออกไปประถมพยาบาล เกมเป็นไปอย่างหนักหน่วง จุปเซ็ปเป้ โดนอัดอีกหลายครั้ง แต่กรรมการ อีวาน เอกคลิน กลับเมินเฉย เกมจบที่สกอร์ 1-1 ต้องต่อเวลา และ เมียซซ่าก็แผงฤทธิจนได้ เมื่ออาการบาดเจ็บทำให้กองหลังเชคโกสโลวาเกีย ปล่อยเขาให้มีที่ว่าง บอลยาวของ มอนเซจิโอ ถูกผ่านมาให้จุปเซ็บเป้ ก่อนที่เขาจะหลอกล่อกองหลังจ่ายผ่านมายัง กัลป์ลิตา มิดฟิลโรม่าที่จ่ายใส่พานให้ เซียวิโอ่ วิงมาจิ้มผ่านมือ ฟรานเชค ปลานนิกาประตูระดับตำนานเข้าประตูไป ทำให้อัซซูรี่ผงาดง้ำคว้าตำแหน่งแชมป์โลกได้ในบ้านตัวเอง และ เมียซซ่าก็ได้รับรางวัลลูกบอลทองคำด้วย ฐานะผู้เล่นทรงคุณค่าในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย

        ปี 1938 เมียซซ่าเดินทางไปป้องกันแชมป์โลกในฐานะกัปตันทีมชาติอิตาลีที่ฝรั่งเศส ก่อนออกจากกรุงโรม เบนนิโต มุสโสลินี่ เรียกเขาเข้าไปพบและอวยพรอย่างเป็นกันเองว่า “ไม่ชนะตาย!”
หลังจากเกมแรกที่ยากลำบากกับนอร์เว (ชนะต่อเวลา 2-1) วิททริโอ ปอซโซ่ เฮดโค๊ชของทีมในขณะนั้น คิดว่าการฝึกที่หนักหน่วงและแรงกดดันจากการเมืองทำให้ลูกทีมของเขาเล่นกันอย่างอึดอัดเกินไป เขาจึงอนุญาตให้บันดานักเตะออกไปเที่ยวกลางคืนได้ ซึ่งเมียซซ่าถูกพบว่าออกไปจ้ำจี้กับสาวงามแดนน้ำหอมถึงสองคน


      นาทีที่น่าจดจำคงเป็นเกมกับบราซิลในรอบรองชนะเลิศ ที่เมียซซ่ายิงประตูชัยจากลูกจุดโทษได้ โดย ซิลวิโอ พิโอล่า ถูกสกัดล้มลงในเขตโทษ  เมียซซ่า รับหน้าที่สังหารโดยดวลกับ วอเตอร์ จอมเซฟลูกโทษของบราซิล ที่มั่นใจเหลือเกินว่าจะเซฟลูกยิงของกัปตันทีมอิตาลี ได้ เมียซซ่า ก้าวเข้ายิงอย่างไม่หวั่นเกรง ทั้งที่กางเกงของเขามีรอยขาด จากการดึงของกองหลัง เขาใช้มือหนึ่งดึงกางเกงไว้และยิงเข้าไปอย่างเยือกเย็น ส่งอิตาลีเข้าชิงแชมป์โลกสองสมัยติด และนั่นคือลูกสุดท้ายของเขากับทีม อัซซูรี่
เกมนัดชิงเป็นอะไรที่สวยหรูสำหรับอิตาลี ในชุดนั้นที่ถูกยกย่องว่า “ไร้เทียมทาน” โดยอัซซูรี่ถล่มเอาชนะฮังการี่ไปได้ 3-1จากประตูของ โคลอสสี่ซึ่งเบิ้ลสองลูกในเกมนี้ บวกกับอีกหนึ่งจาก พิโอลา ทำให้ อัซซูรี่เถลิงแชมป์โลกสมัยที่สองได้สำเร็จ โดยหลังจบทัวนาเมนต์ พิโอลา ผู้ทำ ห้าประตูในทัวนาเมนต์นี้กล่าวคำสรรเสริญเพื่อนร่วมทีมว่า “ฟุตบอลโลกครั้งนี้ ผมขอมอบความดีความชอบให้ เมียซซ่า และ แฟร์รารี่”
เมียซซ่าเล่นเกมทีมชาติครั้งสุดท้ายในปี 1939 กับฟินแลนด์ที่ เฮลซิงกิ โดยเกมนั้นอัซซูรี่จัดการเจ้าถิ่นได้ 3-2 เขาเล่นทีมชาติทั้งหมด 53 นัดพาทีมแพ้แค่หกครั้ง และยิงไป 33 ประตู


เมียซซ่า เสียชีวิตในวันที่ 21 สิงหาคม 1979 ในวัย 68 ปี ชื่อของเขาถูกจดจำในนามตำนานลูกหนังของทีมอินเตอร์มิลาน และ ทีมชาติอิตาลี และชื่อของเขายังได้รับเกียรติ ให้เป็นอีกหนึ่งชื่อเรียกของ สนาม ซาน ซีโร่ อีกด้วย

วันอาทิตย์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2554

Weekly Azzurri Legend: Luigi Riva

         
   ถ้าพูดถึงดาวยิงแล้ว ทีมชาติอิตาลีเป็นอีกทีมที่ไม่เคยขาดยอดเพรชฆาติเลย ชื่อของ ฟิลิปโป้ อินซากี้ อเล็กซานโดร เดลปิเอโล คริสเตียน วิเอรี่ หรือโรแบร์โต้ บาจโจ้ คงเป็นที่คุ้นหูเป็นอย่างดี แต่ทีมอัซซูรี่ยังมีอีกหนึ่งศูนย์หน้าที่มีสถิติการทำประตูในนามทีมชาติที่เหนือกว่าทุกคนที่กล่าวมา  เจ้าของตำแหน่งดาวยิงสูงสุดตลอดการของพลพรรค อัซซูรี่ และสโมสรกัลยารี่ weekly legend วันนี้ขอเสนอเรื่องราวของ Rombo di Tuano ลุยจิ ริวา


            ลุยจิ ริวา เกิดเมื่อ 7 พฤศจิกายน 1944 ในเขต เลกเกียโน เมือง วาเรส  และเริ่มต้นการค้าแข้งกับ เลกนาโน ทีมท้องถิ่นก่อนถูกกัลยารี่ดึงตัวไปร่วมทีมในฤดูกาลต่อมา เจ้าหนุ่มรีวา ได้ลงมาวาดลวดลายในฟุตบอลลีกเป็นครั้งแรกในวันที่ 13 กันยายน 1964  ซึ่งเกมนั้นทีมชาวเกาะพ่ายต่อโรม่าไป 2-1 ตลอด ชีวิตการค้าแข้งกับ กัลยารี่ ริวา คว้าตำแหน่งดาวซัลโวได้ 3 ครั้งในฤดูกาล 1966/67 1968/69 และ 1969/70 ซึ่งในปีนี้เองที่เขาได้สำผัสกับ สคูเด็ทโต้ ครั้งแรกและครั้งเดียวของสโมสร

ริว่า ติดทีมชาติครั้งแรก ในวันที่ 27 มิถุนายน 1965 ที่อัซซูรี่เอาชนะ ฮังการี่ได้ 2-1  ริวาคลองตำแหน่งดาวซัลโวสูงสุดตลอดการของอิตาลีด้วยสถิติ 35 ประตู จากการลงเล่นเพียงแค่ 42นัดเท่านั้น และมีส่วนสำคัญที่ช่วยให้อิตาลีคว้าแชมป์ยุโรปได้ในปี 1968  ยิ่งไปกว่านั้นก่อนฟุตบอลโลกปี 1970 ที่เม็กซิโก จะเริ่ม ริวามีสถิติการยิงประตูอยู่ที่ 19 ประตูจาก 16เกม และทำเพิ่มได้ 3 ประตูในทัวนาเมนท์ โดยอัซซูรี่จบทัวนาเมนท์ด้วยการเป็นรองแชมป์


ในปี 1973 ริวาในวัย 29 ปฏิเสธการย้ายไปร่วมทีม ยูเวนตุส และในปี 1974 ทีมชาติ อิตาลีทำผลงานได้น่าผิดหวังในฟุตบอลโลกที่เยอรมันตะวันตก และริวาถูกดร็อปในเกมสุดท้ายกับโปแลนด้วย

ตลอดชีวิตการค้าแข้ง ริวาได้รับบาดเจ็บหลายครั้ง เขาเคยขาซ้ายหักในเกมที่มชาติกับโปรตุเกสก่อนฟุตบอลโลก 1966 จะเริ่ม ขาขวาหักกับเกมออสเตรียหลังบอลโลก 1970 ได้รับบาดเจ็บที่ต้นขาขวาในปี 1976 ระหว่างช่วยต้นสังกัดฟาดแข้งกับมิลาน หลังจากนั้นลุยจิ ริวาก็ไม่เคยเล่นในฟอร์มที่สุดยอดอีกเลย
ริวาแขวนสตั๊ดในปี 1978 และรับตำแหน่งผู้บริหารของสโมสร กัลยารี่ ภายหลังริว่ารับตำแหน่งผู้บริหารของทีมชาติอิตาลีชุดแชมป์โลกปี 2006

           และด้วยความยิ่งใหญ่ตลอดชีวิตการค้าแข้ง ในปี 2005 สโมสรกัลยารี่ประกาศยกเลิกหมายเลข 11 เพื่อเป็นเกียรติกับ ลุยจิ ริวา ตำนานของทีม และเป็นหมายเลขแรก และหมายเลขเดียวที่ทีมชาวเกาะประกาศยกเลิก

ลุยจิ รีวา (จีจี้ รีวา)
7 พฤศจิกายน 1944
ตำแหน่ง กองหน้า
ฉายา Rombo di Tuano (เสียงคำรามจากสายฟ้า)
เล่นทีมชาติ 42นัด ยิง 35ประตู 

วันพุธที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2554

ปรันเดลลีกับอิตาลีที่เดินถูกทาง

         
        ถึงแม้จะต้องเจอกับเกมที่ยาก แต่สุดท้ายลูกทีมของ เซเซเร่ ปรัลเดลลี่ ก็เก็บสามแต้มสำคัญได้อย่างคู่ควร และถึงแม้ว่าชัยชนะต่อ สโลเวเนีย แค่ลูกเดียวนั้นจะเป็นข้อพิสูจน์อะไรไม่ได้ แต่ อิล ซีที คนใหม่ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ทีมของเขาเอาตัวรอดได้เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่คับขัน  และ ที่สำคัญเขาพาทีมไปในเส้นทางที่ถูกต้องแล้ว 

           ถึงตอนนี้คงพูดได้เต็มปากแล้วว่า พลพรรคอัซซูรี่จะได้ไปเหยียบแผ่นดินยูเครนและโปแลนด์ ในกลางปีหน้าแล้วแน่นอนทั้งที่ยังเหลืออีกสองเกมให้เล่น นั่นหมายความว่าปรัลเดลลี่มีอีก 180 นาทีให้ปรับจูนที่ทีมที่ถูกสบประมาท ทีมที่เขายังมีเวลาอีก 15 เดือนให้เตรียม 


        มันไม่ง่ายเลยที่จะพริกฟื้นทีมที่ มาเซโล่ ลิปปี้ ทิ้งไว้หลังจากฝันร้ายที่อาฟริกา ทีมชาติอิตาลีที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด  และเสียงวิจาร ถูกกระตุ้นให้กลับมามีความสด มุมมองใหม่ และ ความกระหายในชัยชนะ การยึดติดกับผู้เล่นเดิมๆนั้นหมดไป การกลับมาอีกครั้ง ของ “ฟาน อันนิโอ” อันโตนิโอ คาสซาโน่หลังจากถูกหมางเมินมาตลอดในยุค ลิปปี้   ตอบโจทย์เกมรุกได้เป็นอย่างดี เมื่อปีเตอร์ แพน ซัดไป 4 ประตูนำเป็นดาวซัลโวของทีมในขณะที่ เล่นเป็นหัวใจในแดนหน้าของทีมด้วย

        ความเด็ดขาดเป็นสิ่งสำคัญ ปรัลเดลลี ไม่ลังเลที่จะเปลี่ยนตัวผู้เล่น เป็นที่รู้กันว่า ทีมใหญ่ๆ ในเซเร อา นั้นมีปัญหากับตำแหน่งฟูลแบ็ค ทีมชาติก็ไม่ต่างกัน การให้โอกาสกับผู้เล่นที่ฟอร์มดีที่สุดจึงเป็นเรื่องจำเป็น คริสเตียน มาจโจ และ โดมินิโก คริซิโต้ เล่นได้ดีในเกมอุ่นเครื่องกับสเปน แต่เมื่อสองฟูลแบ็คฟอร์มดร็อปลงในกับ หมู่เกาะฟาโร ก็ต้องเป็นโอกาสของ มาเทียส คาซซานี และ เฟรดดิริโก บัลซาเล็ทติ สองคู่กูจากปาร์แลโม แทน

          อิตาลียุคใหม่สามารถเล่นได้ทั้ง 4-3-3 และ 4-3-1-2 ซึ่งอ็อปชั่นในเกมรุกที่หลากหลายเป็นเรื่องที่ทำให้ทีมได้เปรียบ เราเห็นหลายเกมที่ ริคาโด มอนโตลิโว จอมทัพชาวม่วง ถูกดันขึ้นมาเล่นในตำแหน่ง เตควาทิสต้า รวมทั้ง กองหน้าอย่าง คาซาโน่ รอสซี่ ปาสซินี่ บาโลเตรี่ กวาเยล่า รวมไปถึง อเล็กซานโดร มาตรี้ก็พร้อมจะรับใช้ทีมในฟอร์มที่ดีที่สุดของตนเมื่อได้รับโอกาส 
แต่เหนือสิ่งอื่นใด แท็คติคและวินัยผู้เล่นเป็นอาวุธสำคัญที่สุดของอิตาลีทุกยุคทุกสมัย แฟนอิตาลีต่างรู้ดีว่าพวกเขาไม่มีนักเตะอย่าง คริสเตียนโน โรนัลโด้ หรือ ลีโอเนล เมซซี่ คอยลากเลื้อยทะลุทวงอย่างทีมอื่น แต่ด้วยวินัยและความสดเปลี่ยนไปจากอิตาลีของมาเซโล ลิปปี้ ทำให้อัซซูรี่กลับมามีเกมที่น่ากลัวอีกครั้ง ถ้าไม่นับลูกเฟอะฟะของ ซอลวาโด้ ซิริกู ในเกมกับเอสโตเนียแล้ว พวกเขาไม่เสียประตูในการแข่งขันอย่างเป็นทางการมา 605 นาทีเข้าไปแล้ว  
 

          เดือนหน้าอิตาลีจะออกไปเยือน เซอร์เบีย ที่ถูกแบนห้ามแฟนเข้าสนาม ในสถาณะที่ทีมเข้ารอบไปแล้ว ถึงตอนนี้ปรันเดลลี มีอีกทั้งซีซั่นให้ขัดเกลาทีมของเขา เชื่อเหลือเกินว่า อิตาลีชุดนี้จะเข้าใกล้ความน่ากลัวขึ้นทุกที ซึ่งแน่นอนว่าจะแข็งแกร่งกว่าที่เราเห็นในตอนนี้ อดทนรอกันอีกนิด อัซซูรี่ยุคใหม่จะกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง

บทความนี้เรียบเรียงจาก Kris Voak, Goal.com  

บทสำภาษณ์หลังเกม อิตาลี สโลเวเนีย


ความเคลื่อนไหวล่าสุดหลังเกมยูโร 2012 หลัง "อัซซูรี" อิตาลี คว้าชัยแบบหืดขึ้นคอได้ 1-0 จากประตูโทนของ จามเปาโล ปาซซินี่ หอกจากอินเตอร์มิลาน และบรรดานักเตะในทีมรวมถึงโค๊ชก็ให้สำภาษหลังเกมส์

 Prandelli



เราเล่นได้ดี และครองเกมส์ได้

" มันยากที่จะเล่นในเกมของเรา แต่เราก็ทำได้ดี หลังจากยิงประตูได้ เกมก็เป็นของเรา"
 .


"(มาริโอ) บาโลเตรี่ เล่นได้ดี ปล่อยให้เขาพัฒนาตัวเองต่อไปเรื่อยๆจะดีกว่า

Federico Balzaretti


"ตอนนี้เราควรเตรียมทีมไปทีละขั้น เราเหลือเวลาอีกตั้งหนึ่งปีเพื่อการนั้น"

" ผมกลัวเล็กน้อย เพราะนี่คือเกมส์แรกที่ผมลงเล่นหลังจากพักมานานเป็นเดือน แต่ผมก็พอใจในผลงานนะ" 


Gianlugi Buffon 

"เรากลับมาไ้ด้ กลังจากที่ตกรอบฟตบอลโลก ใครจะเชื่อว่้าเราจะเข้ารอบได้เร็วขนา่ดนี้" 

"ปรกติแล้วกว่าเราจะเข้ารอบได้ก็เลือดตาแทบกระเด็น คราวนี้ผมว่าเราทำลายทำเนียมแบบนั้นได้"

" การชนะสโลวีเนีย และเข้ารอบสุดท้ายได้ ทำให้ผู้เล่นเกิดความเชื่อมั่นว่า เรายังไปได้อีกใกล" 


Pazzini, the hero 

"ผมมีความสุขมากๆที่ยิงลูกสำคัญได้ มันเป็นการทำประตูที่พิเศษสำหรับผม เพราะผมไม่ค่อยจะยิงให้ทีมชาติมากนัก และมันยิ่งสุดยอดมากเพราะเราเข้ารอบไปได้ที่ฟลอเรนส์



"มันสวยงามที่สุด ปรันเดลลี่ ให้ผมเป็นทางเลือกที่สำคัญเสมอ ผมไม่เคยมีปัญหาเมื่อไม่ได้ลงตัวจริง และผมได้พิสูจน์แล้วว่าผมทำได้ เมื่อได้รับโอกาส "

welcome to Azzuri Thailand

blog นี้ถูกจัดทำเพื่อการนำเสนอข่าวเกี่ยวกับทีมชาติอิตาลีเท่านั้น ไม่มีเจตนาหากำไรแต่อย่างใด

เว็ปไซด์ รวมถึง fan page http://www.facebook.com/pages/Azzuri-Thailand/256614287705717

ถูกจับทำขึ้นเพื่อเป็นแหล่งรวมตัวกันของสาวกทีมชาติิอิตาลีในไทย